ถ้าเราต้องการสร้างเว็บไซต์การตลาดสักหนึ่งเว็บเนี้ย สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย ก็คือการติดตั้ง Tracking Code ต่าง ๆ เพราะเจ้าตัว Tracking ทั้งหลายจะช่วยให้คุณสามารถเก็บข้อมูล เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นไปช่วยพัฒนาเว็บไซต์หรือธุรกิจต่อได้ วันนี้ ผมได้ทำคู่มือรวบรวมวิธีในการติดTracking Codeบนเว็บไซต์ที่นิยมใช้เป็นประจำมาฝากกันครับ
1. Google Tag Manager (GTM)
Google Tag Manager เครื่องมือที่หลาย ๆ คนรู้จักกัน จะช่วยคุณจัดการกับแท็กต่าง ๆ บนเว็บไซต์ คุณสามารถใส่แท็กได้ไว้ในที่นี่ที่เดียว ไม่ว่าจะเป็น Google Analytics Tracking ID หรือ Facebook Pixel ซึ่งปกติเมื่อคุณนำ Script หรือ Code มาใส่ไว้ใน GTM แล้วนำเลข ID ของ GTM ไปติดไว้บนเว็บไซต์ คุณก็สามารถติดตามผลลัพธ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้
วิธีการสมัคร
- คุณต้องมีบัญชี G Suite หรือ Gmail เป็นของตัวเองก่อน
- เข้าไปยังเว็บไซต์ https://marketingplatform.google.com/about/tag-manager/ เพื่อลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชี Gmail ของคุณเอง
- หลังจากที่ลงชื่อเข้าใช้เรียบร้อยแล้ว เว็บจะเด้งมาที่หน้าแรกของการใช้งาน GTM ให้คุณคลิกที่ “Create Account” เพื่อทำการสร้าง Account ในครั้งแรก
- หลังจากคลิก “Create Account” เรียบร้อย จะเด้งมายังหน้าที่คุณกรอกรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้
– ใส่ชื่อ Account Name หรือ ชื่อโปรเจกต์ของคุณเอง
– เลือกประเทศที่ Account ของคุณอยู่
– ใส่ URL เว็บไซต์
– เลือกประเภทของ Platform
– กด Create เพื่อทำการสร้างบัญชี
- หลังจากนั้น จะมี Terms of Service Agreement เด้งขึ้นมาให้อ่าน ก็อ่านรายละเอียดแล้วติ๊กยอมรับแล้วกด “Yes” เพื่อเริ่มต้นใช้งานครับ และเมื่อสร้างเสร็จ คุณก็จะได้โค้ดเพื่อไปติดตั้งในเว็บไซต์ต่อไปครับ
วิธีการติดตั้ง
(สำหรับคนที่ใช้งาน WordPress ทำได้ง่าย ๆ เลยครับ)
- เมื่อคุณเปิดใช้งาน Account GTM เรียบร้อยแล้ว ได้โค้ดสำหรับติดตั้งมาเรียบร้อยแล้ว วิธีง่าย ๆ สำหรับคนที่ไม่ได้มาทางสายโค้ดดิ้ง มุ่งตรงไปที่หลังบ้าน WordPress ของคุณเลยครับ เราจะใช้การติดตั้ง GTM ผ่านปลั๊กอินครับ
- ทำการติดตั้งปลั๊กอินเพิ่ม ในที่นี่ผมขอแนะนำปลั๊กอินตัวนี้ นั่นก็คือ Google Tag Manager for WordPress เพราะง่ายและสะดวก
- หลังจากที่ติดตั้งและ Activate เรียบร้อยแล้ว เราจะต้องเอา ID จากหน้า GTM มาวางที่ Setting → Plug-in → Google Tag Manager for WordPress แบบในรูปเลยครับ หลังจากนั้น บันทึกมันเลย
2. Google Analytics (GA)
เรามาต่อกันด้วย Google Analytics วิธีที่ผมจะมาแนะนำนั่นก็คือวิธีการเชื่อมต่อ Google Analytics ผ่านตัว Google Tag Manager มาดูวิธีทำกันเลยครับ
วิธีการสมัคร
- ก่อนอื่นเลยครับ ต้องมีบัญชี G Suite และ Gmail ก่อนครับ
- เข้าไปยังเว็บไซต์ https://marketingplatform.google.com/about/analytics/ แล้วทำการลงชื่อเข้าใช้ได้เลย
- หลังจากนั้นให้ทำการสมัครใช้งาน Google Analytics ก่อน โดยการกดปุ่ม Sign up
- ระบบจะเด้งมายังหน้าสำหรับการสมัคร ให้คุณทำการกรอกชื่อบัญชี โดยจะใช้ชื่อเว็บไซต์หรือชื่ออื่นก็ได้ เพราะใน 1 บัญชี สามารถดูแลได้หลายเว็บไซต์เลย
- หลังจากนั้น ระบบจะให้คุณกรอกชื่อ Property ประเทศที่เว็บไซต์อยู่ รวมถึงสกุลเงินของประเทศนั้น และอย่างที่รู้กันว่า GA ได้ออกตัว GA4 มาเป็นเวอร์ชันใหม่ ดังนั้น คุณต้องกดตัวเลือกขั้นสูง เพื่อสร้าง Property Universal Analytics และ Google Analytics 4 พร้อมกันไปด้วยครับ
- ขั้นตอนต่อมา ทาง GA จะให้คุณเลือกหมวดหมู่อุตสาหกรรม ขนาดของธุรกิจ และจุดประสงค์ที่จะนำ GA ไปใช้ในธุรกิจ หลังจากนั้นก็สร้างมันขึ้นมาเลยครับ
- เมื่อกดสร้างปุ๊บ คุณจะต้องยอมรับ Policy ของเขา โดยต้องเลือกเป็นประเทศไทยก่อน แล้วจึงกดยอมรับเพื่อสร้างครับ
- เมื่อสร้างเสร็จเราจะได้ Tracking ID ทั้งของ Universal Anlytics และ Google Analytics 4 มาเพื่อให้ไปติดที่ GTM ได้เลยครับ
วิธีการติดตั้ง
(เป็นวิธีติดตั้ง Google Analytics ผ่านตัว Google Tag Manager ครับ)
- ขั้นตอนแรก ให้คุณกลับมาที่ Google Tag Manager ก่อนครับ จากนั้นทำการเพิ่มแท็ก แล้วกดกำหนดค่าแท็ก
- จากนั้นให้ทำการเลือกแท็ก โดยเราจะเลือกที่ Universal Analytics ก่อน แล้วค่อยเลือกการกำหนดค่า GA4 และ เหตุการณ์ GA4
- หลังจากนั้น ให้คุณ Track Type เป็น Page View จากนั้นเลือก New Variable เพื่อนำ Tracking ID มาใส่ หลังจากนั้นให้กดบันทึกครับ
- ขั้นตอนต่อมา คือการเลือก Trigger ว่าต้องการจะให้แท็กที่หน้าไหนบ้างของเว็บไซต์คุณ ในที่นี้ ผมจะเลือกเป็น All Page เพื่อให้แท็กทุกหน้าของเว็บไซต์เลยครับ หลังจากนั้นให้คุณกดบันทึกทั้งหมดได้เลย
- เมื่อบันทึกเสร็จแล้วอย่านึกว่าเสร็จนะครับ เพราะคุณต้องกด Submit เพื่อให้ข้อมูลการแท็กทุกอย่างส่งไปด้วยครับ
เพียงทำขั้นตอนเหล่านี้ คุณก็สามารถสร้างและเชื่อมต่อ Google Tag Manager และ Google Analytics ได้แล้วครับ ต่อไป ผมจะมาบอกขั้นตอนการติดแท็ก Google Search Console ไปกันต่อเลยครับ
3. Google Search Console
อย่างที่หลากคนรู้กันว่าครับ ว่า Google Search Console เนี้ย ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยตรวจสอบดัชนีและประสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้คุณ เพื่อให้เหมาะสมกับหน้า Search Engine งั้นเรามาดูวิธีสมัครกับติดตั้งกันดีกว่าครับ
วิธีการสมัคร + ติดตั้ง
- เข้าไปที่เว็บไซต์ https://search.google.com/search-console/about และกดเริ่มใช้งานได้เลย (อย่างที่บอกครับ ต้องมีบัญชี G Suite หรือ Gmail ก่อน ถ้าต้องใช้บริการของ Google ต้องมีทุกเครื่องมือเลยครับ สมัครครั้งเดียวใช้ได้ทุกเครื่องมือนะ)
- ถัดมา คือการเพิ่ม Website Propertyจะเห็นได้จากภาพด้านบนว่า จะมี 2 ฝั่งให้เลือก ระหว่าง Domain กับ ตัว URL prefix ซึ่งทั้ง 2 อย่างเป็นดังนี้
Domain – เป็นการเพิ่มเว็บไซต์โดยใช้ชื่อโดเมนของคุณเอง จะทำให้เราสามารถดู report ได้ทั้งหมด ไม่ว่า subdomain จะเป็นอะไร
URL prefix – เป็นการเพิ่มเว็บไซต์โดยการเพิ่มทีละ URL ระบุแบบเจาะจงไปเลยว่าต้องการดู URL ไหนในโดนเมนของคุณหลังจากเลือกและกรอก URL เสร็จ ให้กดดำเนินการต่อได้เลย
- เมื่อกดดำเนินการแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการ Verify URL เพื่อเป็นการยืนยันว่าคุณเป็นเจ้าของโดเมนนั้นจริง ๆ
- เมื่อยืนยันเรียบร้อย คุณจะต้องดำเนินการติดตั้งต่อ ซึ่งการติดตั้งที่ผมแนะนำสำหรับท่านที่ไม่แม่นทางโค้ดดิ้งมาก คือการใช้ปลั๊กอินของตัว WordPress เลยครับ อย่างเช่น Yoast SEO เป็นต้น ซึ่งทำได้ง่าย ๆ ก็คือ
– เลือก HTML Tag เพื่อคัดลอกไปวางที่ Google Verification Code ของปลั๊กอินที่คุณใช้บนเว็บไซต์
– กด Save กลับไปที่หน้า Google แล้วกด Verify
หลังจากติดตั้งเสร็จเรียบร้อย อาจจะต้องรอสัก 2-3 วัน เผื่อให้ตัว Google Search Console ซิงก์กับเว็บไซต์ของคุณ เพื่อดึงข้อมูลต่าง ๆ มาโชว์ให้คุณดูครับ
วิธีการส่ง Sitemaps
- เข้าไปยังหน้า Google Search Console แล้วเลือก Sitemaps (แผนผังเว็บไซต์)
- ถัดมาให้เอา URL ที่คุณต้องการส่ง Sitemaps มาวางที่ช่องเพิ่มแผนผังเว็บไซต์ใหม่ หลังจากนั้นให้กดเพิ่ม
- Google จะใช้เวลาสักพักในการที่จะดึงข้อมูล Sitemaps ของคุณมาแสดงยังหน้านี้
Facebook Pixel
Facebook Pixel เป็นโค้ดไม่กี่บรรทัดที่ให้คุณไปติดบนเว็บไซต์ แล้วหลังจากนั้น เวลาที่คุณมีแคมเปญหรือทำโฆษณาบน Facebook จะสามารถนำกลุ่มคนที่เข้ามายังเว็บไซต์ มาทำ Remarketing ได้ (ซึ่งเป็นวิธีที่ดีมาก ๆ สำหรับธุรกิจที่ต้องการทำโฆษณาผ่านช่องทางนี้) ทำให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่มได้เป็นอย่างดี
วิธีการติดตั้ง
สร้าง Facebook Custom Audience
- ก่อนอื่นเลย คุณต้องมี Facebook Page และ Ad Account ก่อน (ถ้ายังไม่มีไปสมัครกันก่อนได้นะครับ)
- เมื่อมีทั้ง 2 อย่างแล้ว ให้คุณเข้าไปยัง https://business.facebook.com เพื่อทำการสร้าง Facebook Custom Audience โดยคลิกที่ Audience → Custom Audience → Website Traffic
- คุณสามารถเลือกได้ว่า Audience ของคุณ ได้ทั้งหมด 4 แบบ ดังนี้
– คนที่เข้ามายังเว็บไซต์
– คนที่เข้ามายังเว็บไซต์ไปแค่บางหน้า
– คนที่เข้ามายังเว็บไซต์ไปแค่บางหน้า และไม่ได้เข้าหน้าอื่น ๆ
– คนที่ไม่ได้เข้ามายังเว็บไซต์ของคุณช่วงระยะเวลาหนึ่ง
หรือคุณจะสามารถเลือกได้ทั้ง 4 แบบเลย โดยเลือก Custom Combination ก็ได้ - กำหนดอายุของ Audience ของคุณได้ อายุที่ว่าคือหมายถึงระยะเวลาที่เข้ามาเว็บไซต์ล่าสุด หลังจากนั้น ก็ Create Audience ได้เลย แต่เมื่อสร้างเสร็จยังใช้ไม่ได้นะ จนกว่าคุณจะนำ Facebook Pixel ไปติดบนเว็บไซต์
ติด Facebook Pixel บนเว็บไซต์
- ผมขอเตือนไว้ก่อน ถ้าหากคุณไม่ถนัดหรือไม่ได้รู้ทางเทคนิคมากนัก สามารถเดินไปถามนักพัฒนาเว็บไซต์ของคุณได้ แต่ถ้าอยากลองเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กับผม ตามมาครับ
- เข้าไปที่หน้า https://business.facebook.com ครับ หลังจากนั้น กดที่ปุ่มซ้านด้านบน เลือก Event Managers
- เลือก Data Source และ Create แล้วคุณจะได้โค้ด Facebook Pixel มา 1 ชุดครับ
- เสร็จแล้ว ให้นำโค้ด Facebook Pixel ไปใส่ไว้ที่ส่วน Header บนหน้าเว็บไซต์ที่คุณต้องการ Tracking โดยใส่ระหว่าง <head>…</head> (ผมถึงบอกว่าถ้าคุณไม่ถนัด น่าจะอยากนิดหน่อย)
- อีกวิธีที่ง่ายสำหรับคุณ ๆ ที่ไม่ถนัดทางเทคนิค ไปโหลดปลั๊กอินของ WordPress มาใช้เลยครับ แต่ว่าจะเป็นปลั๊กอินที่เป็นตัวพรีเมี่ยมหน่อย นั่นก็คือ Tracking Code Manager จะช่วยให้การใส่โค้ด Facebook Pixel ของคุณง่ายขึ้น เพราะคุณสามารถใส่ผ่านปลั๊กอินได้เลย โดยไม่ต้องมาแก้โค้ดเว็บไซต์ให้ยุ่งยาก
- เมื่อทำการติดตั้งแล้ว อาจจะต้องรอเวลาสักหน่อย ให้มีจำนวนกลุ่มเป้าหมายจำนวนหนึ่ง แล้วคุณจะสามารถไปทำ Remarketing ได้ครับ
HubSpot
และวิธีติด Tracking Code ตัวสุดท้ายที่ผมจะมาแนะนำก็คือ HubSpot หลายคนอาจจะรู้จักและอาจจะไม่รู้จัก แต่ผมเคยได้ใช้งาน HubSpot ดังนั้น ผมเลยแถมการติด Tracking Code ของซอฟต์แวร์ตัวนี้ให้ด้วยครับ มาลองดูกันว่าทำได้ยังไงบ้าง
- ก่อนอื่นเลยคุณต้องไปคัดลอก HubSpot Tracking Code เพื่อนำมาใช้งานก่อน โดยไปที่บัญชี HubSpot นั้น แล้วเลือกที่ Settings
- หลังจากนั้น ไปที่ Tracking & Analytics Settings คุณจะเจอกับ HubSpot Tracking Code ที่จะนำมาใช้งาน
ซึ่งวิธีการติดตั้ง Tracking Code ต่อไปนี้ ผมจะสอนวิธีการติดตั้งบนเว็บไซต์ WordPress มาดูวิธีการกันเลยครับ
- ปกติแล้ว ใน WordPress ถ้าคุณใช้ปลั๊กอินจะง่ายสำหรับการติดตั้ง Tracking Code ต่าง ๆ เพราะปลั๊กอินจะเชื่อมต่อระหว่าง HubSpot กับ WordPress ให้คุณอัตโนมัติ ซึ่งปลั๊กอินที่ผมแนะนำนั้น ก็คือ HubSpot All-in-One Marketing-Forms, Pop-ups, Live Chat WordPress Plugin
- แต่ถ้าหากคุณไม่อยากใช้ปลั๊กอิน มีอีกวิธีเหมือนกันครับ เมื่อคุณคัดลอกโค้ดบน HubSpot เรียบร้อยแล้ว ให้คุณเข้าที่หลังบ้าน WordPress และลงชื่อเข้าใช้งาน
- ในเมนูด้านซ้าย ให้ไปที่ Appearance แล้วเลือก Editor
- ในธีมด้านขวา ให้เลือกแก้ไข Footer ของคุณ โดยการวางโค้ดที่คัดลอกไว้ แล้วอัปเดตไฟล์หน้านั้น เพียงเท่านี้ คุณก็สามารถติดตั้งได้เรียบร้อยแล้วครับ
เห็นไหมครับ ว่าการติดตั้ง Tracking Code แต่ละตัวนั้นไม่ได้ยากเลย แม้คุณจะไม่มีความรู้ทางด้านเทคนิคหรือโค้ดดิ้งก็สามารถติดตั้งได้ด้วยตัวเอง เพียงทำไปพร้อม ๆ กับวิธีของผม แต่ถ้าใครมีปัญหาตรงไหน หรือติดตรงไหน สามารถส่งมาสอบถามได้เลยนะครับ